16 ก.ค. 2554

Active และ Passive voice แฝงหลักชีวิตอะไรไว้บ้าง

บทแสดงในประโยคชีวิต

                                                          
                                                    
                                              
         ในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ นอกจากสารพัด Tense ที่ทำให้เห็นว่าชาติตะวันตกเขาใส่ใจเรื่องเวลาแค่ไหนแล้ว ก็มีหัวข้อ Active Voice และ Passive Voice ด้วยที่น่าคิดนะว่า พวกเขาแฝงเรื่องการให้ความสำคัญอะไรเช่นกันหรือเปล่า
      เพราะประโยค 2 แบบนี้ ถูกแบ่งตามบทบาทของประธานในประโยค
         Active Voice นั้นเป็นประโยคส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันคือ มีประธานเป็นผู้กระทำ โดยแสดงออกทางคำกริยาต่างๆ ด้วยตัวเอง ส่วนประโยคที่ประธานกลายเป็นผู้ถูกกระทำ หรือผู้รับการกระทำจากบุคคลหรือสิ่งของนั้นคือ Passive Voice
         บทบาทของประธานแต่ละแบบนี้ ทำให้รูปแบบและความหมายของประโยคนั้นแตกต่างกัน ชีวิตคนเราก็เช่นกัน การเป็นผู้กระทำ หรือผู้ถูกกระทำ ก็ทำให้รูปแบบชีวิตไม่เหมือนกัน
        แม้ภายนอกทางกายภาพอาจเห็นว่าเราต่างก็เป็นผู้ทำนู่นทำนี่ในชีวิตประจำวัน แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า เราจะใช้ประโยคของตัวเองเป็น Active Voice เสมอไป ลองสำรวจภายในตัวคุณอีกครั้งว่า อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก คุณคือผู้กำหนดให้มันเป็น หรือปล่อยให้คนอื่นและสิ่งรอบตัวมาเป็นผู้กระทำต่อชีวิตคุณแทนกันแน่ ถ้าเริ่มไม่มั่นใจ มาดูลักษณะ 2 อย่างนี้ให้ชัดขึ้นอีก ซึ่งมีผู้อธิบายมันใหม่ในฐานะอุปนิสัย Proactive และ Reactive ที่ความแตกต่างมีดังนี้
1. “Proactive” คือ
- คนที่เห็นถึงศักยภาพในตัวเอง เชื่อว่าเขาจัดการชีวิตได้ และสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอะไรหรือจะทำสิ่งไหน
- เขารู้ดีว่า ทุกอย่างที่ตัวเขาเป็นอยู่ตอนนี้ เกิดจากการที่ตัวเขาเลือก หรือไม่เลือกที่จะเป็นเอง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้สถานการณ์มันเลวร้ายแน่นอน ถ้าเขามีสิทธิที่จะแก้ไขได้
- เขาจะเป็นคนที่กระตือรือร้น ริเริ่มที่จะทำสิ่งใดๆ ก็ตามที่พาเขาไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่เอาแต่รอความหวังหรือโชคชะตา โอกาสยังไม่มา ก็พาตัวเองไปหาโอกาส ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวให้พร้อมเสมอกับทุกสถานการณ์
- หากชีวิตของเขามีสิ่งไหนไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เขาก็จะไม่โทษใคร และไม่นิ่งเฉย แต่จะลงมือกระทำบางอย่าง เปลี่ยนบางสิ่งที่จะทำให้มันดีขึ้น หรืออย่างน้อยอะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกพอใจและมีความสุขเพิ่มขึ้น
- เมื่อเจอเหตุการณ์ใดๆ เขาจะไม่ปล่อยให้การตอบสนองของตัวเองเป็นไปโดยอัตโนมัติ แบบที่โดนแรงผลักก็จะไม่ล้มตาม เขาจะมองดูตัวเลือกก่อนว่า เขาสามารถตอบสนองแบบไหนได้บ้าง แล้วเขาก็จะเลือกทำสิ่งที่จะให้ผลดีที่สุด
2. “Reactive” คือ
- คนที่คอยตอบสนองตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่มากระทบ เรียกว่า ยินยอมให้สิ่งรอบข้างมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตัวเอง ใครให้อะไรก็รับ โดนว่าก็ต้องเสียใจ มีเสียงรบกวนก็ต้องหงุดหงิด ทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าจริงๆ เขาต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
- เขาจะมีแต่ความไม่เข้าใจว่า ทำไมชีวิตตัวเองถึงเป็นแบบนี้ ทำไมมันมีแต่อะไรที่ไม่อยากให้มันเป็น
- พอเจออะไรแย่ๆ ก็จะชอบโทษทุกสิ่งรอบตัว เพราะเขาได้ผลักความรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง ให้สิ่งอื่น หรือคนอื่นไปหมดแล้ว มองตัวเองเป็นแต่ผู้ถูกกระทำเพียงอย่างเดียว
- เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ หรือพลัง ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นได้เลย ชีวิตนี้ฟ้าลิขิตไว้แล้ว ก็ต้องจำนนแต่โดยดี ไม่มีขัดขืน
- มักเชื่อเรื่องดวง และโชคชะตา มากกว่าที่จะคิดเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยตัวเอง
          ทำตัวเป็น Proactive ไม่ใช่ “Reactive” หรือ passive แล้วจะรู้ว่า ชีวิตมันมหัศจรรย์ยิ่งนัก
           อ่านแล้วก็รู้ว่า อย่างไหนดีกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยากนะที่จะให้คนที่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง จนกว่าจะได้สติแหละ ถึงจะเข้าใจว่า ชีวิตของตัวเขาเอง เขาคือคนรับผิดชอบ และหากไม่ลุกขึ้นมาจัดการชีวิตตัวเอง ชีวิตของเขาก็ย่อมไม่มีวันเป็นไปตามที่เขาต้องการได้ แล้วก็อยู่ในวังวนที่รู้สึกว่าชีวิตแย่ไม่สิ้นสุดต่อไป
          กลับกันกับคนที่เป็น Proactive ที่รู้สึกเหมือนมีพลังวิเศษในตัว เขาไม่ได้สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้หรอก แต่แค่รับรู้ว่า ตัวเองควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำตัวเองได้ แค่นี้มันก็วิเศษมากเลย เพราะมุมมองต่อสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปทันที ก็ถ้าเรื่องที่เจอมันเลวร้าย แต่มีสติได้ว่า ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ อะไรเกิดก็เกิดไป ตัวเองไม่ต้องผันแปรตามสถานการณ์นั้นก็ได้ เท่านี้ก็จะไม่ต้องรู้สึกแย่ไปกับมัน และ มุมมองจากลบก็จะปรับขึ้นให้เป็นบวกได้ทันทีด้วยตัวเขาเองไม่ใช่ใคร มันก็จะยิ่งยืนยันความเชื่อที่ว่า ชีวิตมันเป็นไปแบบที่เขาต้องการได้ ถ้าอยากมีความสุขก็ทำเลย แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้น
          เริ่มต้นด้วยหลักภาษา แต่ก็มาจบลงด้วยหลักชีวิตได้ บางทีการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมอาจทำให้เราเข้าใจแบบแผนชีวิตมากขึ้นก็ได้นะ
          
   ที่มา: 
          โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

1 ความคิดเห็น:

  1. This is how my colleague Wesley Virgin's story starts in this SHOCKING and controversial video.

    As a matter of fact, Wesley was in the army-and shortly after leaving-he found hidden, "SELF MIND CONTROL" secrets that the government and others used to get whatever they want.

    These are the exact same secrets many famous people (notably those who "became famous out of nothing") and top business people used to become wealthy and famous.

    You've heard that you use less than 10% of your brain.

    Really, that's because the majority of your brain's power is UNCONSCIOUS.

    Maybe this thought has even taken place IN YOUR very own head... as it did in my good friend Wesley Virgin's head around 7 years back, while driving an unregistered, trash bucket of a vehicle with a suspended license and with $3.20 on his debit card.

    "I'm so fed up with going through life paycheck to paycheck! When will I become successful?"

    You've taken part in those types of thoughts, isn't it right?

    Your success story is waiting to start. Go and take a leap of faith in YOURSELF.

    Take Action Now!

    ตอบลบ